ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ประเภทของงานวิจัยแบ่งตามวิธีการเก็บข้อมูล


การวิจัย (research) หมายถึง กระบวนการศึกษาค้นคว้าข้อเท็จจริงอย่างมีระบบต่อเนื่อง ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่มีความน่าเชื่อถือ มีระเบียบ มีขั้นตอนที่ชัดเจน มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน ดังนั้น กระบวนการทาง การวิจัย จึงต้องมีความน่าเชื่อถือ มีการอ้างอิงอย่างถูกต้องและมีเหตุมีผล



ประเภทของการวิจัย
การวิจัยสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทตามเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ได้กำหนดขึ้น เช่น ตามระเบียบวิธีวิจัย ตามความมุ่งหมายการวิจัย ตามแหล่งข้อมูลการวิจัย เป็นต้น แต่มีลักษณะการแบ่งการวิจัยประเภทหนึ่งที่มักจะพบเห็นได้บ่อย นั่นคือ การแบ่งตามวิธีเก็บรวบรวมข้อมูล โดยทั่วไปมี 4 รูปแบบได้แก่

1. การวิจัยเอกสาร (documentary research) เป็นการวิจัยที่มุ่งเน้นการนำข้อมูลจากหนังสือ ตำรา หรือเอกสารต่าง ๆ มาวิเคราะห์ สังเคราะห์ เรียบเรียง ในลักษณะการบรรยาย การพรรณาความ หรือเปรียบเทียบข้อมูล เป็นต้น

2. การวิจัยเชิงสำรวจ (survey research) เป็นการวิจัยที่ใช้ข้อมูลจากการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างโดยตรง ผ่านเครื่องมือการทำวิจัยที่หลากหลาย เช่น การใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ เป็นต้น

3. การวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) เป็นการวิจัยที่ใช้ข้อมูลที่ได้จากกระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เช่น การผลิตน้ำมันไบโอดีเซล การทำจรวดขวดน้ำ เป็นต้น

4. วิจัยเชิงสังเกต (observatory research) เป็นการวิจัยที่ได้จากการสังเกตของผู้วิจัยซึ่งไม่สามารถหาหรือเก็บรวบรวมข้อมูลได้ด้วยวิธีการอื่นได้


หากใครเพิ่งเริ่มทำงานวิจัย ปริญญานิพนธ์ สารนิพนธ์ วิทยานิพนธ์ แล้วยังไม่ค่อยเข้าใจ อยากหาผู้ช่วย สามารถส่งรายละเอียดการทำวิจัยมาได้ที่อีเมล์ bearytutor@gmail.com

หรือติดต่อช่องทางอื่น ๆ ที่โทรศัพท์ 085 934 1130 /// Line : bearytutor

Facebook Fanpage : www.facebook.com/bearytutor

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เคล็ดลับสอบ ก.พ. ภาค ก : การทำข้อสอบอนุกรม

การ สอบ ก.พ. ภาค ก ในปัจจุบัน ได้แบ่งออกเป็น การสอบการคิดวิเคราะห์ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ แม้ว่ารูปแบบข้อสอบจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่และเป็นข้อสอบที่หลายๆ คน มองว่าเป็นเรื่องที่ยาก นั่นคือ "อนุกรม" อนุกรม หมายถึง ชุดของตัวเลขที่เรียงลำดับกันอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งออกเป็นเพิ่มขึ้น (การบวกและคูณ) และลดลง (การลบและหาร) ซึ่งความยากของการทำข้อสอบอนุกรมก็คือการค้นหาระบบที่ทางผู้ออกข้อสอบต้องการนั่นเอง โดยเคล็ดลับและวิธีการทำข้อสอบอนุกรมสามารถพิจารณาได้จากวิธีการดังต่อไปนี้ 1. อนุกรมลำดับชั้น วิธีการทำข้อสอบคือการลองหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลขโดยการตีแฉก แล้วคำนวณดูว่าตัวเลขแต่ละลำดับนั้นห่างกันเท่าไหร่ และห่างกันอย่างไร ดังแสดงให้เห็นได้ในภาพที่ 1     ภาพที่ 1 2. อนุกรมสะสม วิธีการทำข้อสอบคือการลองหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลขในแต่ละชุด อาจกำหนดเป็นชุดละ 2 หรือ 3 ลำดับ แล้วพิจารณาดูว่าผลจากการคำนวณนั้นตรงกับลำดับถัดไปหรือไม่? หากใช่ ให้ลองทำกับลำดับต่อๆ ไป จนได้คำตอบในลำดับสุดท้าย ดังแสดงให้เห็นได้ในภาพที่ 2 ภาพที่ 2   นอกจาก อนุกรม ทั้งสอง

วิธีสร้างรหัสแบบสอบถาม ก่อนเข้าสู่การใช้งาน SPSS

แบบสอบถาม เป็นเครื่องมือการวิจัยที่ได้รับความนิยมจากนักวิจัย และนักเรียน นักศึกษา ในระดับต่างๆ เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างครบถ้วนแล้ว กระบวนการถัดมาคือการ  คีย์ข้อมูล  ลงโปรแกรม SPSS แต่ด้วยจำนวนแบบสอบถามที่มีเป็นจำนวนมาก โดยแต่ละชุดก็มีข้อคำถามที่หลากหลาย ดังนั้น เพื่อเป็นการลดความผิดพลาด จึงควรมีการ  สร้างรหัสแบบสอบถาม เพื่อให้การ  ลงข้อมูล หรือ คีย์แบบสอบถาม เป็นไปอย่างถูกต้อง โดย BEARY Tutor มีข้อแนะนำดังนี้ 1. เขียนรหัสแบบสอบถามเพื่อเรียงลำดับชุด ในการทำวิจัยแต่ละครั้ง มักใช้  แบบสอบถาม  เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในแต่ละชุดยังประกอบไปด้วยจำนวนข้อคำถามมีหลายข้อ การเขียนรหัสแบบสอบถาม ลงบนหัวกระดาษ ซึ่งปกติจะเขียนบริเวณมุมบนขวา โดยใช้ตัวเลข 3 หลัก (ตามจำนวนชุดของแบบสอบถามทั้งหมด) เรียงตามลำดับการ ลงรหัสแบบสอบถาม ( คีย์ข้อมูลแบบสอบถาม ) เพื่อป้องกันความสับสนระหว่างการคีย์ รวมไปถึงการแก้ไขข้อมูลได้อย่างถูกต้อง ในกรณีที่มีการคีย์ผิดพลาด 2. สร้างรหัสตัวแปร  การลงรหัสแบบสอบถาม จำเป็นต้องสร้างรหัสของข้อมูล ซึ่งก็คือตัวแปรต่างๆ เพื่อให

ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของ Maslow ทฤษฎีคลาสสิคที่ใช้ในงานวิจัย

ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของ Maslow (Maslow's hierarchy of needs) ภาพ ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของ Maslow ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/ลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ ในการจัดทำงานวิจัย ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัยทางการตลาด การทำวิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาทางด้านการตลาด หรือพฤติกรรมผู้บริโภค จะต้องมีการศึกษาทฤษฎีหนึ่งซึ่งเป็นทฤษฎีอมตะที่บ่งบอกถึงความต้องการของมนุษย์ไว้ได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย นั่นคือ " ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของ Maslow (Maslow's hierarchy of needs) "  Abraham H. Maslow (1954 อ้างถึงในวิบูลย์ จุง, 2550) อธิบายว่า พฤติกรรมของมนุษย์เป็นจำนวนมากสามารถอธิบายโดยใช้แนวโน้มของบุคคลในการค้นหาเป้าหมายที่จะทำให้ชีวิตของเขาได้รับความต้องการ ความปรารถนา และได้รับสิ่งที่มีความหมายต่อตนเอง โดยลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ (The Need –Hierarchy Conception of Human Motivation) สามารถเรียงไว้อย่างเป็นลำดับ ได้ดังนี้ 1. ความต้องการทางร่างกาย ( Physiological needs ) เป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน ที่มีอำนาจมากที่สุดและสังเกตเห็นได้ชัดท