สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เผยสถิติอันน่าวิตกของผู้สอบผ่านภาค ก เพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการในส่วนราชการต่าง ๆ ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) มีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดระยะ 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะใน ปี พ.ศ. 2557 ที่ผ่านมา พบว่า มีผู้สมัครสอบในทุกระดับการศึกษาตั้งแต่ระดับ ปวช. อนุปริญญาตรี ปริญญาตรี และปริญญาโทจำนวนกว่า 4 แสน แต่มีคนที่สอบผ่านเพียงร้อยละ 6 - 7% เท่านั้น
นายนนทิกร กาญจนะจิตรา เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เปิดเผยกับสื่อมวลชนเกี่ยวกับ การที่มีคนสอบผ่านภาค ก. ลดลง ว่า จากฐานข้อมูลคน 3 กลุ่มที่สอบ ก.พ. คือ กลุ่มแรก เป็นคนที่เพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย และมีความประสงค์จะรับราชการ เรียกว่าเป็นกลุ่มหน้าใหม่จริงๆ ส่วนกลุ่มที่สอง คือ คนที่สอบไม่ผ่านมาก่อน และเข้ามาสอบซ้ำ และกลุ่มที่สาม คือ คนทำงานในบริษัทเอกชนเป็นจำนวนมาก แต่รู้สึกไม่มั่นคงในอาชีพการทำงาน จึงมาสอบภาค ก. เพื่อเตรียมตัวรับราชการ
โดยผลการสอบของทั้ง 3 กลุ่มนี้ สอบผ่านภาค ก ได้ประมาณร้อยละ 6 - 7 ของจำนวนผู้ที่สอบทั้งหมด ซึ่งถือว่าน้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะหลังที่มีการสอบภาษาอังกฤษ (เริ่มในปี 2557) ค่าเฉลี่ยในการสอบผ่านก็จะยิ่งลดลง จากปกติที่อัตราการสอบผ่าน ก.พ. ก็น้อยอยู่แล้ว ซึ่งสถาบันการศึกษาแต่ละแห่งมีข้อมูลของตัวเองโดยชัดเจน ทั้งอัตราการเข้าสอบและสอบผ่าน ที่สามารถเป็นตัวสะท้อนในแง่คุณภาพของแต่ละสถาบันในการผลิตบัณฑิตของตน
เลขาธิการ ก.พ. กล่าวต่อว่า สำหรับแนวทางที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่มีคนสอบผ่านภาค ก ลดลงนั้น สำนักงาน ก.พ. มีแผนจะทำการสอบแบบใหม่ ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนปรับแก้ระเบียบ และเปลี่ยนวิธีการไปเป็น E Exam ซึ่งแต่เดิมใช้วิธีการจัดกลุ่มสอบแบบ Paper & Pencil โดยจะทำเพียงปีละครั้งเนื่องจากจำนวนมีมาก เช่น ในปีนี้ทำสอบครั้งเดียว แต่แบ่งเป็น 2 รอบ คือเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา และ ส.ค. ที่จะถึงนี้ ในอนาคตจะสร้างศูนย์สอบอิเล็กโทรนิกส์ คือสอบด้วยคอมพิวเตอร์ที่สำนักงาน ก.พ. ติวานนท์ อ.เมืองนนทบุรี จะมีที่นั่งสอบประมาณ 600-700 ที่นั่ง ซึ่งใน 1 วันสอบได้ 2 รอบ ประมาณหนึ่งพันกว่าคน และ E Exam นั้น สามารถสอบได้ทุกวัน โดยเปิดให้จองรอบสมัครสอบในอินเทอร์เน็ต และมีการเปิดรอบพิเศษ เช่น ในระดับปริญญาโท เป็นต้น ซึ่งจะมีข้อดี คือ ทำให้เกิดการหมุนเวียนกับคนที่เพิ่งจบการศึกษา โดยจะให้ Priority กับบัณฑิตจบใหม่ และจะเพิ่มโอกาสในการสอบมากขึ้น ส่วนคนที่สอบไม่ผ่านจะเว้นวรรคเป็นระยะเวลาหนึ่ง เป็นต้น
นอกจากนี้ เลขาธิการ ก.พ. ยังมีมุมมองว่า สถาบันการศึกษาและสถาบันที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย ตั้งแต่กระทรวงศึกษาธิการ ไปจนถึงแต่ละมหาวิทยาลัยต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่เพื่อผลิตคนมารับใช้สังคม มารองรับตลาดแรงงาน ต้องสร้างทักษะ ความสามารถ และทัศนคติให้เด็กเพื่อจะมาทำงานได้ โดยทบทวนเรื่องวิธีการสอน เช่น เน้นเรื่องการใช้ความจำมากเกินไป หรือ เน้นแต่ตัวเนื้อหา แต่ไม่ได้เน้นเรื่องวิธีการคิด วิเคราะห์ การตีโจทย์
โดยปัญหาหลักๆ ที่ทำให้มีผู้สอบผ่านในอัตราที่ลดลง คือ คุณภาพของสถาบันการศึกษา ซึ่งถือเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน และต้องพยายามไม่ให้ไปกระทบกับสถาบัน และการที่ ก.พ.ให้ข้อมูลรายละเอียดว่ามหาวิทยาลัยที่ไหนมีจำนวนผู้สอบผ่านภาค ก.ในสัดส่วนเท่าไหร่ เป็นเรื่องที่ต้องให้ความยุติธรรมต่อกัน เพราะแต่ละมหาวิทยาลัยเองก็มีข้อด้อยและข้อจำกัดต่างกัน เช่น การจัดสรรงบประมาณรายหัวก็ได้รับในอัตราที่น้อยกว่า
รวมถึงในด้านความเก่าแก่ของสถาบันที่เปิดสอนมานานนั้น ถือว่าเป็นจุดเด่นที่ทำให้มหาวิทยาลัยนั้นๆสามารถจะดึงดูดบุคลากรอาจารย์ที่มีองค์ความรู้และมีประสบการณ์ ซึ่งมหาวิทยาลัยบางแห่งที่ไม่มีจุดเด่นเหล่านี้ก็สู้มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและมีความเก่าแก่ไม่ได้ เรื่องตัวนักศึกษาเองก็มีตัวเลือกมากขึ้น เรียกได้ว่า ปัญหาคุณภาพของสถาบันทางการศึกษา มีรายละเอียดซึ่งต้องทำความเข้าใจว่าความเสียเปรียบนั้นเป็นข้อจํากัดและเป็นอุปสรรคมาขวางกั้นด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายต้องให้ความเข้าใจซึ่งกันและกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000087669
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น